วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

THAI CONSTITUTIONS DAY

December 10 marks the Constitution Day which is held annually to commemorate the advent of the regime of Constitutional Monarchy in Thailand.
Previously, the government of Thailand was an absolute monarchy until June 24, 1932 there was a transition to constitutional monarchy led by a group of young intellectuals educated abroad and inspired by the concept of western democratic procedures. The group which was known as “People’s Party or Khana Rasdr” was led by Luang Pradit Manudharm (Pridi Panomyong). To avoid bloodshed, King Rama VII (King Prajadhipok) had prepared, even before being asked, to hand over his powers to the people.
All Thai constitutions, however, recognise the King as Head of State, head of the Armed Forces, Upholder of All Religions and sacred and inviolable in his person. His Majesty the King’s sovereign power emanates from the people and is exercised in three ways, namely; legislative power through the National Assembly, executive power through the Cabinet and Judicial power through the law courts.
Even though the Revolution of 1932 brought an end to the centuries old absolute monarchy, the reverence of the Thai people towards their kings has not been diminished by this change.
Portraits of Thai kings are prominently displayed throughout the kingdom. On Constitution Day, the entire nation is greeted with festivity. The government offices, private buildings and most high rises are decorated with national flags and bunting and are brightly illuminated. On this day, all Thai citizens jointly express their gratitude to the king who graciously granted them an opportunity to take part in government the country.

วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วันขึ้น 15 คำ เดือน 12


ประเพณีลอยกระทง












ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงมีมานานจนสืบประวัติไม่ได้ และไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาเสฐียรโกเศศ
(พระยาอนุมานราชธน) ได้ค้นคว้าที่มาของประเพณีลอยกระทงไทยทุกภาคตลอดจนถึงประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา จีน อินเดีย ได้ความว่ามีประเพณีลอยกระทงทุกประเทศด้วยเหตุผลต่างๆ กันวันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 คำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ 700 ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.
ในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราศ. 1800 ดังปรากฏชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้

สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำด้วย
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้ การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น
ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/loykratong/index.html

วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ทิเบต...สวรรค์บนฟ้า

ทิเบตเป็นดินแดนที่เรียกขานกันว่า "หลังคาโลก"




ลาซา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของทิเบตตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,850 เมตร หรือประมาณเกือบ 4 กิโลเมตร ออกซิเจนที่ลาซาจึงค่อนข้างจะบางเบากว่าที่เป็นอยู่ในประเทศไทยหรือที่กรุงเทพฯซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงไม่ถึง 5 เมตรเท่านั้น การเดินทางไปทิเบตมีสองทางคือจากเนปาลโดยบินจากกัฏมัณฑุไปยังเมืองลาซา และบินผ่านเทือกเขาหิมาลัย บางวันทัศนวิสัยไม่ดีสายการบินอาจยกเลิกได้ อีกเส้นทางหนึ่งคือบินจากเมืองเฉินตูของมลฑลเสฉวนตรงไปยังเมืองลาซา ซึ่งไม่ค่อยมีการยกเลิกเที่ยวบิน ระหว่างเส้นทางบินเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินเห็นแสงแดดตกบนยอดภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ยอดแล้วยอดเล่าสวยงามยิ่งนัก ที่เคยเห็นในประเทศสวิสเซอร์แลนด์หรือออสเตรียสวยสู้ที่นี่ไม่ได้เลย
ลาซา นอกจากได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่อยู่สูงที่สุดในโลกแล้วยังเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีสนามบินอยู่ไกลจากตัวเมืองมากที่สุดของประเทศจีนอีกด้วย เพราะสนามบินกุงก่านั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองถึง96 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ก็ร่วม 2 ชั่วโมง ครั้งแรกที่ได้เหยียบหลังคาโลกก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจแต่มีความรู้สึกกลัวต่อคำเตือนของหลาย ๆ คนที่ว่า สภาพอากาศที่นี่มีระดับออกซิเจนต่ำซึ่งอาจจะมีผลหลายอย่างต่อร่างกายได้ เมื่อลงจากเครื่องบินที่สนามบินกุงก่า มองไปรอบ ๆ เหมือนสนามบินอยู่ก้นกะทะ ขอบ ๆ จะเป็นภูเขาที่ไม่มีต้นไม้เลยสักต้นเดียว อากาศสดชื่นมาก ไม่มีความรู้สึกขาดออกซิเจน ก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง ไม่เห็นเหมือนคำบอกเล่าเลย การเดินทางจากสนามบินไปยังเมืองลาซา รู้สึกสดชื่นและเพลิดเพลินกับเส้นทางมาก เพราะด้านขวาของถนนจะเลียบแม่น้ำลาซาซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำพรหมบุตรของประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแยงซี ซึ่งไหลเข้าไปในแผ่นดินจีนและแม่น้ำโขงไหลผ่านจีนตอนใต้เวียดนาม ลาว ไทย และเขมร ด้านซ้ายมือจะเป็นภูเขาที่ไม่มีต้นไม้ เหมือนกับที่เห็นที่สนามบิน น้ำในแม่น้ำมีสีเขียวสวยมาก ในน้ำมีปลา แต่ไม่มีใครกินปลาเนื่องจากเป็นที่ทิ้งศพของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบที่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และคนส่วนใหญ่ถือว่าปลาเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรจะจับมาบริโภค แม่น้ำสายนี้ไม่มีใครลงไปเล่นน้ำเนื่องจากน้ำเย็นจัด ดังนั้นตลอดระยะทางจะเห็นเรือลำเล็ก ๆ ซึ่งทำด้วยหนังวัวมีคนนั่งอยู่ 2-3 คน พายเรือเล่นในแม่น้ำ บ้านคนที่นี่มีขนาดใหญ่โตกว่าที่คิด เนื่องจากส่วนหนึ่งของบ้าน จะกั้นเอาไว้เป็นที่พักของสัตว์เลี้ยง เช่น วัว แพะ จามรี ในตอนกลางคืน บริเวณกำแพงบ้านก็จะมีมูลวัวตากแดดแห้งเป็นก้อน ๆ อยู่ทั่วไปซึ่งเขาจะเอามาทำเป็นฟืนให้ความอบอุ่นในหน้าหนาวได้ ส่วนบนหลังคาบ้านก็จะมีธงประกอบไปด้วยผ้าสีต่าง ๆ 5 สี ได้แก่ สีฟ้าเป็นเครื่องหมายท้องฟ้าสีขาวคือเมฆ สีเขียวคือน้ำ สีเหลืองคือดิน และสีแดงคือไฟ ธงแบบนี้เป็นสัญญลักษณ์ของการบูชาฟ้าดินและธรรมชาติซึ่งจะเห็นอยู่ทั่วไปตามบ้านเรือน วัด หรืออาคาร ร้านค้าต่าง ๆ
ดินแดนแห่งนี้ คือศูนย์กลางแห่งสวรรค์
ดินแดนแห่งนี้ เป็นแกนกลางของโลก
ดินแดนแห่งนี้ เป็นหัวใจของชาวโลก
และดินแดนแห่งนี้เป็นบริเวณที่ล้อมรอบด้วยหิมะอันขาวโพลนตลอดกาล
ลาก่อน…สวรรค์บนฟ้า อีกไม่นานคงได้กลับไปเยือนอีก

วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ELEPHANT OF THAILAND






ลักษณะและธรรมชาติของช้าง

ช้างเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์แข็งแรงมีกำลังมาก มีขาใหญ่ 4 ขา พื้นเท้าอ่อนนุ่มเมื่อช้างเดินจึงไม่ใคร่ไดยินเสียง ส่วนการนอนของช้างนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ช้างจะนอนตะแคงตัวลำตัวกับพื้น และมีการหาวนอนและนอนกรนเช่นเดียวกับมนุษย์ ตามปกติช้างจะนอนหลับในระยะเวลาสั้น เพียง 3-4 ชั่วโมง เวลานอนอยู่ในระหว่างเวลา 23.00 นาฬิกาถึง 03.00นาฬิกา ช้างไม่นอนกลางวันนอกจากมีอาการไม่สบายงวงช้างคือ จมูกของช้าง ยาวถึงพื้น ใช้หายใจและจับดึงยกลากสิ่งของต่าง ๆ ได้ และใช้หยิบอาการเข้าปาก ปลายงวงมีรูสองรู กลวงตลอดความยาวงวงช้าง งวงช้างไม่มีกระดูกอยู่ภาพใน จึงอ่อนไหวและแกว่งไปมาได้ง่าย งวงนี้ใช้อมน้ำและพ่นน้ำเล่นได้ เมื่อช้างจะดื่มน้ำจะใช้งวงดูดน้ำข้าไปเก็บไวในงวงก่อนแล้วจึงพ่นน้ำจากงวงเข้าในปากอีกทีหนึ่งงาช้างเป็นสิ่งที่สวยงามและมีราคามากที่สุดในตัวช้าง งาช้างก็คือฟันหน้าหรือเขี้ยวของช้าง งอกออกจากขากรรไกรบนข้างละอัน งาช้างทั้งคู่มีสีขาวนวล เริ่มโผล่ให้เห็นเมื่อมีอายุประมาณ 2-5 ปี งาช้างที่สวยงามจะต้องมีความโค้งเรียบสม่ำเสมอจนเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม ช้างใช้งาเป็นอาวุธป้องกันตัวต่อสู่กับสัตว์ร้ายนัยน์ตาช้างมีตาเล็กมากเมื่อเทียบกับรูปร่างอันสูงใหญ่
แต่ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนดี และเห็นไดแต่ไกลใบหูมีลักษณะคล้ายพัด โบกไปมาอยู่เสมอ เมื่อช้างกางใบหูออกจะได้ยินเสียงจากที่ไกล ๆ ได้ดีขึ้น ช้างที่มีอายุมากใบหูจะม้วนลงมาและขอบล่างมักเว้าแหว่ง การเว้าแหว่งของขอบล่างใบหูอาจใช้คาดคะเนอายุของช้างได้อย่างคร่าว ๆ ถ้าใบหูเว้าแหว่งน้อยแสดงว่าอายุยังน้อย ถ้าเว้าแหว่งมากก็หมายถึงอายุมากหางหางช้างมีลักษณะกลมยาวเรียวลงไปถึงเข่า
ที่ปลายมีขนเส้นโตสีดำ ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว เรียงเป็น 2 แถว ตลอดความยาวของหางประมาณ 6-7 นิ้ว
จำนวนเล็บช้างมีนิ้วเท้าสั้นที่สุดจนเห็นแต่อุ้งเท้า มีเล็บโผล่ให้เห็นเป็นบางเล็บ ส่วนมากมี 18 เล็บ คือเท้าหน้าข้างละ 5 เล็บ เท้าหลังข้างละ 4 เล็บ บางตัวมี 16 บางตัวมี 20 เล็บ


ความฉลาดของช้างไทย
ช้างไทย เป็นช้างเอเชีย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว สามารถนำมาฝึกใช้ในการใช้งาน ให้ทำตามคำสั่ง
ของมนุษย์ได้สรีระของช้างไทย ซึ่งเป็นช้างเอเชีย มีศรีษะ ใหญ่มีมันสมองมาก ทำให้ช้างที่นำมาจากป่า เพื่อนำมาเลี้ยง เป็นช้างบ้านมีความสลาด สามารถสื่อสารกับมนุษย์ ผู้นำมาฝึกคนเลี้องช้าง ควาญช้าง โดยเฉพาะที่เป็นชาวไทยกูยหรือส่วย แห่งจังหวัดสุรินร์ จะมีความชำนาญ ในการฝึกช้างเป็นพิเศษช้างไทย
จัดเป็นสัตว์บก ขนาดใหญ่ ที่สามารถ สื่อสารกับมนุษย์ได้กับภาษา พูดของมนุษย์ และอากัปกิริยา อาการ
ที่สื่อสาร เข้าใจกันได้

วันอังคารที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ทายนิสัย จากเค้กที่ชอบกิน

บราวนี่เค้ก : เป็นนักผจญภัย ชอบไอเดียใหม่ๆ เป็นนักต่อสู้และชอบชัยชนะ เป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่หลายครั้งที่สร้างมุขแป้ก แม้จะมีแนวคิดแปลกๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นคนจงรักภักดีไม่แพ้ใคร
เค้กสตรอเบอรี่ : เป็นคนน่ารัก อบอุ่น และโรแมนติก ช่างเอาอกเอาใจและห่วงใยคนอื่น แต่ใจอ่อนง่ายๆ บางครั้งก็ใช้อารมณ์มากเกินไป คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นคนขี้หึงอีกด้วย
เค้กช็อคโกแลต : เป็นคนเซ็กซี่ สร้างสรรค์ อารมณ์ร้อนแรง และทะเยอทะยาน หลายคนอาจมองดูเป็นคนเย็นชา แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนซ่อนความอบอุ่นไว้ภายใน ชอบผจญภัย ไม่ค่อยพอใจกับอะไรที่เรียบๆ ธรรมดา จึงชอบที่จะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
เค้กแครอท หรือ เค้กอื่นๆ ที่ทำจากผัก/ธัญพืช : เป็นคนร่าเริง ชอบความสนุกสนาน ใครๆ ที่อยู่ด้วยมักมีความสุข สนุกสนานไปด้วย ไม่ค่อยมีพิธีรีตรอง ไม่ต้องมากความ แถมยังใจดี เลยมีเพื่อนมาก
เค้กไอศกรีม : เป็นนักกีฬาตัวยง ไม่ว่าจะลงแข่งจริงๆ จังๆ หรือแค่เป็นแฟนกีฬาที่ติดตามดูอย่างจริงจังก็ตาม จึงทำให้ค่อนข้างแอคทีฟ เคารพตัวเองและยึดถือตัวเองเป็นหลัก จึงมักมีคนว่าออกจากเรื่องมากเอาการอยู่นะ ต้องระวังด้วย

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/29587