วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ดาวประกายพรึก

ภาพถ่ายดาวศุกร์ในย่านอัลตราไวโอเลตจากยานไพโอเนียร์วีนัสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979
แสดงให้เห็นเมฆที่ปกคลุมหนาทึบในบรรยากาศ
(ภาพจาก NASA)


ดาวศุกร์ผ่านใกล้ดาวอัลเดบารันในกลุ่มดาววัว มองเห็นได้ในเวลาเช้ามืด


นับจากปลายปีที่แล้วจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ดาวศุกร์อยู่ในท้องฟ้าเวลาหัวค่ำทางทิศตะวันตก หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า ดาวประจำเมือง หลังจากนั้นดาวศุกร์ได้ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา แล้วจะกลับมาให้เห็นในท้องฟ้าเวลาเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นในปลายเดือนมิถุนายนนี้ ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์หนึ่งในห้าดวงบนท้องฟ้าที่เป็นที่รู้จักกันมานานหลายพันปี อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้า บางคนอาจเรียกดาวศุกร์ว่าน้องสาวของโลก เนื่องจากมันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าโลกเพียงเล็กน้อย และมีองค์ประกอบในบรรยากาศคล้ายกับโลกในยุคดึกดำบรรพ์
การที่ดาวศุกร์มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก เราจึงมีโอกาสเห็นดาวศุกร์ได้เวลาใดเวลาหนึ่งใน 2 ช่วงเวลานี้ คือ เวลาหัวค่ำที่เรียกกันว่า "ดาวประจำเมือง" หรือเวลาเช้ามืดที่เรียกกันว่า "ดาวประกายพรึก" หากดาวศุกร์ปรากฏในเวลาหัวค่ำมันจะอยู่ทางทิศตะวันตก แต่หากปรากฏในเวลาเช้ามืดมันจะอยู่ทางทิศตะวันออก กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์ชาวอิตาเลียน เป็นคนแรกที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูดาวศุกร์ และพบว่าดาวศุกร์มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงดิถีของดวงจันทร์ นักดาราศาสตร์ในอดีตที่ส่องกล้องดูดาวศุกร์พบว่าดาวศุกร์มีร่องรอยจางๆ ปรากฏบนผิวดวง ปัจจุบันเราทราบว่าร่องรอยเหล่านั้นเป็นเมฆที่ปกคลุมรอบตัวดวง จึงไม่สามารถสังเกตเห็นพื้นผิวอย่างที่เห็นบนดาวอังคาร
การศึกษาดาวศุกร์ในย่านอินฟราเรดในปี ค.ศ. 1932 ทำให้พบว่าดาวศุกร์มีบรรยากาศที่ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ การศึกษาด้วยคลื่นไมโครเวฟในปลายทศวรรษ 1950-1960 ทำให้พบว่าพื้นผิวดาวศุกร์มีอากาศร้อนอย่างร้ายกาจด้วยอุณหภูมิเกือบ 500 องศาเซลเซียสในด้านที่เป็นกลางวัน และยังมีฝนของกรดซัลฟิวริกที่เป็นผลผลิตจากภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่
เมื่อมีการใช้เรดาร์ศึกษาดาวศุกร์จากพื้นโลก พบว่าดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองในทิศทางและอัตราที่ไม่ปกตินัก โลกและดาวเคราะห์ส่วนใหญ่หมุนรอบตัวเองในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองลงมาจากด้านเหนือของระบบสุริยะ แต่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองในทิศทางตรงกันข้าม หากเราไปยืนบนดาวศุกร์จะพบว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก นักวิทยาศาสตร์คาดว่าการหมุนรอบตัวเองที่แปลกประหลาดนี้ อาจมีสาเหตุจากการที่ดาวศุกร์ถูกชนโดยวัตถุขนาดใหญ่ในช่วงแรกๆ ที่มันกำลังก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ นอกจากนี้ หนึ่งวันบนดาวศุกร์ยังมีความยาวนานถึง 243 วันโลก ในอดีตมียานอวกาศหลายลำที่ออกเดินทางไปสำรวจดาวศุกร์ ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ที่ประสบผลสำเร็จคือยานมาริเนอร์ 2 ยานมาริเนอร์ 5 และยานมาริเนอร์ 10 ที่ผ่านใกล้ดาวศุกร์ในช่วงปี ค.ศ. 1962-1974 ต่อมาองค์การนาซาได้ส่งยานไพโอเนียร์วีนัสไปยังดาวศุกร์ในปี ค.ศ. 1978 ซึ่งมียานลูกถูกหย่อนลงไปในบรรยากาศของดาวศุกร์เพื่อเก็บข้อมูลองค์ประกอบและถ่ายภาพพื้นผิวของดาวศุกร์
รัสเซียส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์จำนวนหลายลำในกลุ่มของยานเวเนรา และถือเป็นดาวเคราะห์ที่รัสเซียให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในช่วงทศวรรษ 1960-1980 มีการส่งยานไปโคจรรอบดาวศุกร์และลงแตะพื้นผิวของดาวศุกร์ โดยเฉพาะยานเวเนรา 15 และยานเวเนรา 16 ที่สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงของพื้นผิวดาวศุกร์ได้ ยานอวกาศที่สามารถเก็บข้อมูลดาวศุกร์ได้มากที่สุดนับถึงปัจจุบันคือยานมาเจลันของสหรัฐฯ ที่ส่งออกจากโลกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1989 ถึงดาวศุกร์ในเดือนสิงหาคม 1990 วงโคจรของยานที่เกือบตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรและผ่านใกล้ขั้วทั้งสองของดาวศุกร์ ทำให้สามารถใช้เรดาร์ทำแผนที่ดาวศุกร์เกือบทั่วทั้งดวง
ปลายเดือนมิถุนายนนี้เราจะเริ่มเห็นดาวศุกร์ได้ในท้องฟ้าเวลาเช้ามืด โดยที่ดาวศุกร์จะมีตำแหน่งใกล้ขอบฟ้าขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสว่าง หากท้องฟ้าปลอดโปร่ง ขณะที่ดาวศุกร์โผล่เหนือขอบฟ้าขึ้นมา ดาวศุกร์จะมีสีเหลืองทองและมีการกะพริบแสงดูแปลกตา หากใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูจะเห็นว่าดาวศุกร์มีส่วนสว่างเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ ต้นเดือนกรกฎาคมดาวศุกร์จะผ่านใกล้ดาวอัลเดบารัน ดาวฤกษ์สว่างในกลุ่มดาววัว

ที่มา http://thaiastro.nectec.or.th/skyevnt/planets/2004venus-emerge.html


วันศุกร์ที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

HAPPINESS

"พายุงวงช้าง" "พายุนาคเล่นน้ำ" หรือ "พวยน้ำ"



หลังจากเกิดปรากฏการ์ "พายุงวงช้าง" ขึ้นในบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ก่อนจะสลายตัวไป แต่ก็ทำเอาหลายๆ คนหวาดกลัวกับคำว่า "พายุ" พร้อมๆ กับสงสัยว่าพายุงวงช้างคืออะไร มีลักษณะอย่างไร และอันตรายมากน้อยแค่ไหน เราจะพาไปรู้จักกับ "พายุงวงช้าง" กันค่ะ...
ปรากฏการณ์ "พายุงวงช้าง" มีชื่อที่ถูกต้องคือ "พายุนาคเล่นน้ำ" หรือ "พวยน้ำ" (waterspout) หมายถึง ปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายท่อน้ำขนาดใหญ่เชื่อมต่อระหว่างผืนฟ้าและพื้นน้ำ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากลมพัดวนบิดเป็นเกลียว เห็นได้จากเมฆที่มีลักษณะเป็นลำ หรือเป็นกรวยหัวกลับยื่นลงมาจากฐานของเมฆคิวมูโลนิมบัส (เมฆฝนฟ้าคะนอง) และเห็นได้จากพวยน้ำที่พุ่งขึ้นมาเป็นพุ่ม ประกอบด้วยหยดน้ำพุ่งเป็นฝอยขึ้นจากผิวพื้นทะเล มีลมแรงพัดเข้าหาบริเวณศูนย์กลางของพวยน้ำ ยอดของพวยน้ำอาจเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แตกต่างไปจากฐาน ทำให้แกนเอียงหรือบิดเบี้ยวแล้วหลุดออกจากกันและสลายตัวไป ซึ่งการเกิดจะคล้ายกับพายุทอร์นาโดที่เกิดขึ้นเหนือพื้นน้ำ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า มักเกิดบ่อยๆ บนพื้นน้ำในเขตร้อน ช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์นี้กินเวลาไม่นานนักในบางครั้งอาจเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานถึงครึ่งชั่วโมง
ลักษณะการเกิด "พายุงวงช้าง" หรือ "นาคเล่นน้ำ" มี 2 แบบ ได้แก่
1. เป็นพายุทอร์นาโด ที่เกิดขึ้นเหนือผืนน้ำ (ซึ่งอาจจะเป็นทะเล ทะเลสาบ หรือแอ่งน้ำใดๆ) โดยพายุทอร์นาโดจะเกิดขึ้นระหว่างที่ฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก เรียกว่า พายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (Supercell thunderstorm) และมีระบบอากาศหมุนวนที่เรียกว่า เมโซไซโคลน (Mesocyclone) จึงเรียกพายุนาคเล่นน้ำแบบนี้ว่า นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโด (Tornado waterspout)
2. เกิดจากการที่มวลอากาศเย็น เคลื่อนผ่านเหนือผิวน้ำที่อุ่นกว่า โดยบริเวณใกล้ๆ ผิวน้ำมีความชื้นสูง และไม่ค่อยมีลมพัด (หรือถ้ามีก็พัดเบาๆ) ผลก็คืออากาศที่อยู่ติดกับผืนน้ำซึ่งอุ่นในบางบริเวณจะยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้อากาศโดยรอบไหลเข้ามาแทนที่ จากนั้นจึงพุ่งเป็นเกลียวขึ้นไป แบบนี้เรียกว่า "นาคเล่นน้ำ" (True waterspout) ซึ่งมักเกิดในช่วงอากาศดีพอสมควร (fair-weather waterspout) อาจเกิดได้บ่อย และประเภทเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากในช่วงที่เกิดมักจะมีพายุฝนฟ้าคะนองร่วมอยู่ด้วย
แต่ความแตกต่างของ 2 แบบนี้ก็คือ นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโดจะเริ่มจากอากาศหมุนวน (ในบริเวณเมฆฝนฟ้าคะนอง) แล้วหย่อนลำงวงลงมาแตะพื้น คืออากาศหมุนจากบนลงล่าง ส่วนนาคเล่นน้ำของแท้จะเริ่มจากอากาศหมุนวนบริเวณผิวพื้นน้ำ แล้วพุ่งขึ้นไป คืออากาศหมุนจากล่างขึ้นบน ในช่วงที่อากาศพุ่งขึ้นเป็นเกลียววนนี้ หากน้ำในอากาศยังอยู่ในรูปของไอน้ำ เราจะยังมองไม่เห็นอะไร แต่หากอากาศขยายตัวและเย็นตัวลงถึงจุดหนึ่ง ไอน้ำก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจำนวนมาก ทำให้เราเห็นท่อหรือ "งวงช้าง" เชื่อมผืนน้ำและเมฆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "พายุงวงช้าง"
โดยส่วนใหญ่มีความยาวประมาณ 10 - 100 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมีตั้งแต่ 1 เมตร ไปจนถึงหลาย 10 เมตร โดยในพายุอาจมีท่อหมุนวนเพียงท่อเดียวหรือหลายท่อก็ได้ แต่ละท่อจะหมุนด้วยอัตราเร็วในช่วง 20-80 เมตรต่อวินาที กระแสลมในตัวพายุเร็วถึง 100 - 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจสูงถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถคว่ำเรือเล็กๆ ได้สบาย ดังนั้น ชาวเรือควรสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ให้ดี แล้วหนีไปในทิศตรงกันข้าม นอกจากนี้ พายุชนิดนี้ยังสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วตั้งแต่ 3 - 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าประมาณ 18 - 28 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งนี้ พายุนี้มีอายุไม่ยืนยาวนัก คืออยู่ในช่วง 2 - 20 นาที จากนั้นก็จะสลายตัวไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัย และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงปรากฏการณ์พายุงวงช้างว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่มักจะเกิดในน้ำ โดยเฉพาะในทะเลจะเห็นบ่อยกว่าในน้ำจืด สำหรับประเทศไทยเคยเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น แต่ไม่บ่อยนัก และไม่เป็นอันตราย เพราะมีขนาด 1% ของพายุทอร์นาโด
ที่มา www.thaipr.net

วันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ธรรม




หลักธรรมในพุทธศาสนา


ธรรม หมายถีง สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; เหตุ, ต้นเหตุ; สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; คุณธรรม,ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่; ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น เช่น พุทธธรรม หมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคริสต์ธรรม หมายถีงคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ท่านพุทธทาสภิกขุ ให้คำนิยามไว้ในหนังสือของท่านว่า ธรรม มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาคำพูดที่เป็นภาษาของมนุษย์มานิยามได้ แต่ขอนิยามให้เข้าใจพอสังเขปไว้ด้วยความว่า หน้าที่ เพราะไม่มีสิ่งใดในสากลโลกที่ไม่มีหน้าที่
คือ หลักความเป็นไปของโลก พระพุทธศาสนาเน้นความจริงที่เกิดขึ้นกับโลก การเกิด ดับ ไม่มุ่งเน้นความสบาย พระพุทธศาสนาสอนให้มุ่งเน้นในส่วนที่โลกกำลังดำเนินอยู่ เกี่ยวพัน เกี่ยวข้องกับระบบทั้งมวล เราอยู่ในจักรวาล ก็ย่อมดำเนินตามระบบของจักรวาล เราอยู่ในโลกก็ย่อมดำเนินตามระบบของโลก ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือระบบ ทุกอย่างพัวพันกับระบบ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักระบบ และอยู่บนระบบได้อย่างเป็นสุข รู้ทันระบบ ดำเนินอยู่ในระบบได้อย่างเป็นสุข ไม่ระแวงกับระบบ แต่สามารถอยู่ในขณะที่ระบบกำลังกลั่นแกล้งเราได้ อยู่กับธรรมชาติ ได้อย่างเป็นสุข รู้ทางพ้นจากทุกข์ หรือพ้นจากระบบได้ในทางที่ถูกต้อง เหมาะสม นี่คือ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาจะพบคำว่า ธรรมและวินัย ควบกันไปเช่นพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า

คำว่า ธรรม คือ
1.ธรรมชาติ

2.กฎของธรรมชาติ

3.หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ

4.การได้รับผลตามกฎของธรรมชาติ

วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ประวัติข้าน้อย






ชื่อ – สกุล นางสาวอรทัย ดีแซง
เพื่อนๆเรียกฉันว่า จ๊ะโอ๋

วันเกิด 23 กรกฎาคม 2530 อายุ 21 ปี โทร 0835446592
u49172792019@hotmail.com
ao_orathai2@hotmail.com
จบจากมัธยมศึกษา จากโรงเรียนชุมแพศึกษา อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
ที่อยู่ปัจจุบัน 2212 วงค์สว่างอพาร์ทเม้นท์ ซ.กรุงเทพ-นนท์46
ถ.กรุงเทพ-นนท์46 เขตบางซื่อ แขวงบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะวิทยาการจัดการ
หลักสูตรบริหารธุรกิจ แขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

รหัสประจำตัวนักศึกษา 49172792019
ความสามารถ เล่นวอลเลย์บอล มวยไทย
สไตล์การแต่งตัว เรียบนิดเปรี้ยวหน่อย

งานอดิเรก ชอบไปเที่ยวในในสถานที่ต่างๆเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม,ชอบตกปลา,อ่านหนังสือ,ฟังเพลง

นิสัยส่วนตัว โกรธง่ายหายเร็ว แต่ก็มีที่โกรธแล้วไม่หายเลย

ควาฝันของฉันในอนาคต ทำไร่สตอเบอร์รี่แล้วส่งออก
คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วอนาคตและอดีตของเราก็จะดีเอง









ความประทับใจของเราในกราเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพวิชาบริหารธุกิจ3




ความประทับใจของเราในกราเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพวิชาบริหารธุกิจ3
วันแรกเลยนะ เราได้ไปยืนกับเพื่อนๆที่แต่ตัวไม่เรียบร้อยทำใจลำบากอ่ะ
วันนี้ก็ไม่ประทับใจอยู่นิดนึงอ่ะก็เราไม่เข้าใจว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร
มีแต่ได้ยินมาบ้างว่าให้แต่ตัวให้เรียบร้อยอ่ะเราก็คิดนะว่าเราเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ใช่
ความเรียบร้อยต้องมีการตรวจความเรียบร้อยก่อนเข้าเรียนทุกชั่วโมง
แต่เรียนไปทุกอาทิตย์กลับไม่เป็นดั่งที่คิดว่าอาจารย์จะโหดแต่กลับรู้สึกสนุกนะ
ถ้าใครไม่เข้าใจว่าการที่เราเปลี่ยนตัวเองเพื่อจะทำให้เราดูดีถูระเบียบ และ
ไม่เป็นแกะดำ เราควรปรับตัวให้เข้ากันทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความสำคัญกับเรา
สิ่งที่ได้มาจากการที่เราเรียนในครั้งนี้นะค่ะ
1.มีความตรงต่อเวลามากขึ้น
2.มีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน
3.การที่ต้องแต่งตัวให้เข้ากับสังคมที่เป็นอยู่
4.การที่ได้ทำงานกับเพื่อนคนอื่น
5.รู้ว่าสิ่งที่เห็นบางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่
และมีอืกมากมายนะค่ะที่ถ้าทุกคนมาเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์
จะได้รับความรู้และความประทับใจเป็นอย่างมากเหมือนกับดิฉัน

ครั้งหนึ่งในชีวิต...ขอพิชิตภูกกระดึง

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
Phukradung National Park Thailand




ลักษณะภูมิประเทศ สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายยอดตัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงโคราช ใกล้กับด้านลาดทิศตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ลักษณะโครงสร้างทางธรณีของภูกระดึงเกิดขึ้นในมหายุค Mesozoic เป็นหินในชุดโคราช ประกอบด้วยชั้นหินหมวดหินภูพานหมวดหินเสาขัว หมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 400-1,200 เมตร มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่คล้ายรูใบบอน ประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร สภาพพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงมีส่วนสูงอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ค่อยๆ ลาดเทลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ลำธารสายต่างๆ ที่เกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขาไหลไปรวมกันทางด้านนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหว



ผานกแอ่น อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2กิโลเมตร และห่างจากหลังแป 2.5 กิโลเมตร ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย
8
ผาหล่มสัก
อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้ บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง


น้ำตกธารสวรรค์ จากน้ำตกถ้ำใหญ่เมื่อออกสู่ป่าสนไม่ไกลนักจะมีทางแยกบนลานหินสู่น้ำตกธารสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักตามเส้นทางป่าสนผ่านลานองค์พระพุทธเมตตาเพียง 1.6 กม. เท่านั้น เป็นน้ำตกขนาดเล็ก


ป่าดิบเขา พบตั้งแต่ระดับ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ก่วมแดง ทะโล้ สนสามพันปี พะอง จำปีป่า พญาไม้ ก่อเดือย ก่อหนาม ก่อหมู ส้านเขา รัก เหมือดคนดง เฉียงพร้านางแอ พะวา เดื่อหูกวาง ฯลฯ พืชพื้นล่างประกอบด้วยไม้พุ่ม เช่น กุหลาบแดง มือพระนารายณ์ ฮอมคำ จ๊าฮ่อม ฯลฯ ตามหน้าผาริมขอบภูพบปาล์มต้นสูงขึ้นห่างๆ ได้แก่ ค้อดอย ไม้เถา เช่น กระจับเขา เครือเขาน้ำ แก้มขาว หนามไข่ปู ใบก้นปิด ย่านหูเสือ เป็นต้น
น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกใน


ป่าสนเขา พบเฉพาะบนที่ราบยอดภูกระดึงที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ สนสองใบ ก่อเตี้ย ทะโล้ สารภีดอย มะเขื่อเถื่อน รัก ฯลฯ พืชพื้นล่างประกอบด้วย สนทราย ส้มแปะ กุหลาบขาว เม้าแดง พวงตุ้มหู นางคำ ฯลฯ ตามลานหินมีพืชชั้นต่ำพวกไลเคน ประเภทแนบกับหินเป็นแผ่น และประเภทเป็นฟองเรียก ฟองหิน ปกคลุมทั่วไป นอกจากนี้จะพบเอื้องคำหิน ม้าวิ่ง และเขากวาง ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่ออกเป็นกอหนาแน่น พืชล้มลุก เช่น ดาวเรืองภู ว่านคางคก ต่างหูขาว เนียมดอกธูป แววมยุรา หญ้าข้าวก่ำขาว โสภา เทียนภู เปราะภู ดอกหรีด ขนนกยูง หญ้าเหลี่ยม น้ำเต้าพระฤาษี กูดเกี๊ยะ เป็นต้น บนพื้นดินที่ชุ่มแฉะ มอสจำพวกข้าวตอกฤาษีหลายชนิดขึ้นทับถมแน่น คล้ายผืนพรม บางแห่งมีพืชล้มลุกขนาดเล็กหลายชนิดขึ้นปะปนกันแน่น เช่น กระดุมเงิน สาหร่ายข้าวเหนียว
ดุสิตา และหญ้าข้าวก่ำ


บรรยากาศในช่วงฤดูหนาว

น้ำตกถ้ำสอใต้ อยู่ถัดจากน้ำตกถ้ำสอเหนือลงไปตามลำน้ำประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากหน้าผาหินถล่มลงไป สภาพภูมิประเทศไม่ได้อำนวยให้เกิดเป็นชั้นน้ำตกเหมือนแห่งอื่นๆ


ป่าเต็งรัง พบบนที่ราบเชิงเขาและบนที่ลาดชันจนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด รกฟ้า อ้อยช้าง กว้าว มะกอกเลื่อม มะค่าแต้ ช้างน้าว ติ้วขน ยอป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างประกอบด้วย หญ้าเพ็ก ขึ้นเป็นกอหนาแน่น แทรกด้วยไม้พุ่มและพืชล้มลุก




น้ำตกโผนพบ เป็นหนึ่งในน้ำตกหลายจุดอันเกิดจากสายน้ำวังกวาง ห่างจากตัวน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพียง 600 เมตรเท่านั้น ในส่วนของลำธารส่วนบนของน้ำตกโผนพบนี้ สามารถไปยืนชมตัวน้ำตกกลางลำธารซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม น้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยบนภูเขานี้ สำหรับชื่อ “โผนพบ” ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยน โลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกต่างประเทศ





น้ำตกเพ็ญพบ อยู่ห่างจากน้ำตกโผนพบ 800 เมตร เป็นน้ำตกที่ไม่สูงนัก ลำห้วยช่วงก่อนไหลลงน้ำตกเป็นลานหินกว้าง ลักษณะคล้ายแก่งที่เต็มไปด้วยหลุมกลม








ที่พักแรม/บ้านพัก มีบ้านพักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ทั้งบนยอดภูกระดึง และบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ด้านล่าง



สถานที่ติดต่ออุทยานแห่งชาติภูกระดึงหมู่ 1 ต.ศรีฐาน อ. ภูกระดึง จ. เลย 42180
โทรศัพท์ 0 4287 1333 อีเมล reserve@dnp.go.th



ที่มาของข้อมูล
http://www.moohin.com/049/049e002.shtml
http://www.oceansmile.com/E/Leo/LeaForest3.htm